จองครั้งเดียว หรือซื้อแพ็กเกจพร้อมส่วนลดถ้าใช้ประจำ แม่บ้านทุกคนผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์ การตรวจสอบประวัติ และการอบรมที่เข้มงวด จองออนไลน์ได้เลย

การขจัดคราบเลือดบนผ้าเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือการเกิดคราบเลือดจากช่วงรอบเดือนของคุณผู้หญิง หากไม่ได้รับการทำความสะอาดคราบเลือดอย่างถูกวิธี คราบเลือดอาจฝังลึกและยากที่จะทำความสะอาด แต่ไม่ต้องกังวลไป! ในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีขจัดคราบเลือดบนผ้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเคล็ดลับที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้านได้อย่างง่ายดาย

1. วิธีขจัดคราบเลือดสด (ที่ยังไม่แห้ง)

เมื่อเลือดยังคงสดและยังไม่แห้ง การขจัดคราบเลือดจะง่ายขึ้น หากแม่บ้านทำคามวิธีที่แนะนำข้างล่าง ดังนี้

1.1 น้ำเย็น

การใช้ "น้ำเย็น" เป็นวิธีแรกที่ควรลองเป็นอย่างแรก เพราะน้ำร้อนอาจทำให้เลือดฝังลึกลงในเนื้อผ้าได้ เริ่มจากแม่บ้านใช้น้ำเย็นล้างบริเวณที่มีคราบเลือดทันที หากเป็นคราบเลือดที่เริ่มแห้ง ให้นำผ้าหรือสำลีมาชุบน้ำเย็นแล้วซับคราบเลือดออก แม่บ้านสามารถทำซ้ำได้เรื่อยๆจนกว่าเลือดจะจางหายไปในที่สุด

1.2 สบู่หรือผงซักฟอก

หลังจากล้างน้ำเย็นแล้ว ควรใช้สบู่หรือผงซักฟอกขจัดคราบเลือดออก ผมขอแนะนำให้แม่บ้านใช้สบู่ขัดเบา ๆ บริเวณคราบเลือด และทิ้งไว้อย่างน้อย 10-15 นาที แล้วขัดด้วยแปรงขนนุ่ม แล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง

2. วิธีขจัดคราบเลือดแห้ง (ที่ฝังลึก)

สำหรับคราบเลือดที่แห้งและฝังลึกแล้ว การขจัดอาจยากขึ้น แต่ก็ยังมีวิธีที่แม่บ้านสามารถลองทำได้ ดังนี้

2.1 ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (น้ำยาล้างแผล)

ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% เป็นสารที่ใช้ในการขจัดคราบเลือดที่ฝังลึกได้ดีในระดับนึง เริ่มจากแม่บ้านเทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ลงบนคราบเลือด ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จนเกิดฟอง และซับคราบเลือดออกด้วยผ้าสะอาด

2.2 ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำ

เบกกิ้งโซดาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการขจัดคราบเลือด โดยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วทำให้เป็นเนื้อครีม ผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำในสัดส่วน 2:1 จากนั้นก็ทาเบกกิ้งโซดาลงบนคราบเลือด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หลังจากที่รอให้แม่บ้านขัดเบา ๆ ด้วยแปรงขนนุ่ม แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

2.3 สเปรย์หรือน้ำยาขจัดคราบเลือดโดยเฉพาะ

ในกรณีที่คราบเลือดฝังแน่น การใช้สเปรย์หรือน้ำยาลบคราบเลือดที่มีขายตามร้านค้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ง่ายและสะดวกเช่นกันครับ เพียงแม่บ้านฉีดสเปรย์ลงบนคราบเลือด ปล่อยทิ้งไว้หรือทำตามคำแนะนำบนฉลาก แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

2.4 ใช้แอมโมเนียผสมกับน้ำเย็น 

วิธีนี้เหมาะสำหรับการกำจัดคราบเลือดที่ฝังแน่น ให้แม่บ้านใช้แอมโมเนียประมาณ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำเย็น ½ ถ้วย จากนั้นเทลงบนคราบเลือด ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที แล้วนำไปซักในน้ำเย็น ทำซ้ำแบบเดิมหากมีความจำเป็น 

ข้อควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอมโมเนียกับผ้าที่มีเนื้อละเอียดอ่อน เช่น ผ้าไหม ผ้าลินิน หรือผ้าขนสัตว์

2.5 น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์

นอกจากจะใช้เพื่อล้างคอนแทคเลนส์ที่ใส่แล้ว แม่บ้านยังสามารถนำน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์มาใช้เพื่อล้างคราบเลือดได้อีกด้วย แค่กรอกน้ำยาลงในขวดสเปรย์แล้วพ่นให้ทั่วบริเวณคราบเลือด ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดซ้ำๆ และเช็ดด้วยผ้าแห้ง 

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการขจัดคราบเลือด

• รีบการทำความสะอาดทันที: ยิ่งทำความสะอาดคราบเลือดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งง่ายต่อการขจัด การปล่อยให้เลือดแห้งบนผ้าเป็นเวลานานจะทำให้คราบฝังลึกและขจัดยาก
• ไม่ใช้น้ำร้อน: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนในการล้างคราบเลือด เพราะน้ำร้อนจะทำให้เลือดเซ็ตตัวและยากที่จะออกจากเนื้อผ้า
• ควรทดสอบสารเคมีก่อน: ก่อนใช้สารเคมีใด ๆ เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือสารฟอกขาว ควรทดสอบที่มุมเล็ก ๆ ของผ้าก่อนเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

การป้องกันคราบเลือด

แม้ว่าการขจัดคราบเลือดจะไม่ยากเกินไป แต่การป้องกันไม่ให้คราบเลือดเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยสามารถทำได้ดังนี้

• ใช้ผ้าปูที่นอนหรือผ้าเช็ดตัวเก่าหากคุณรู้ว่ามีการบาดเจ็บ หรือใช้ผ้ารองกันเปื้อน
• หากเป็นคราบเลือดจากรอบเดือน ควรใช้ผ้าอนามัยที่มีคุณภาพดีเพื่อป้องกันการซึมของเลือด

การขจัดคราบเลือดบนผ้าอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากรู้วิธีและมีเครื่องมือที่เหมาะสม คราบเลือดก็สามารถออกได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คุณทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำ และอย่าลืมที่จะจัดการกับคราบเลือดทันทีที่เกิดขึ้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด! หรือถ้าคุณไม่อยากทำเองล่ะก็ เพียงจองแม่บ้านออนไลน์ที่ ได้ง่ายๆ bluuu เว็บไซต์ของเราได้เลยนะครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน

Thossaporn K.

ถ้าจะพูดถึงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสุดน่ารักที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ลักษณะนิสัยของคนเลี้ยง ไลฟ์สไตล์ และความสามารถในการดูแลของคุณ รวมไปถึงสิ่งที่คุณต้องการจากการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นผมจะขอแบ่งตามลักษณะต่างๆ ของบุคลิกและไลฟ์สไตล์ เพื่อช่วยให้คุณเลือกสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้นครับ

1. หากคุณชอบกิจกรรมกลางแจ้งหรือการออกกำลังกาย ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่

ถ้าคุณเป็นคนเป็นคนที่มีพลังงานเหลือล้น รักการออกกำลังกายหรือชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น วิ่ง หรือเดินเล่นในสวนสาธารณะ สัตว์เลี้ยงที่ต้องการการออกกำลังกายและกิจกรรมที่กระตือรือร้นก็น่าจะเหมาะกับคุณมาก

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• สุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์, เยอรมันเชพเพิร์ด, บ็อกเซอร์ - สุนัขเหล่านี้มีพลังงานสูงและชอบกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่ง หรือเดินป่า
• สุนัขพันธุ์เล็กที่มีพลังมาก เช่น บอสตัน เทอร์เรีย, แจ็ครัสเซล เทอร์เรีย - สุนัขเหล่านี้ถึงจะตัวเล็ก แต่ก็มีพลังงานสูงและต้องการเล่นอย่างต่อเนื่อง
• ม้า - ถ้าคุณเป็นคนมีเงินที่ชื่นชอบการขี่ม้าและใช้เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน ม้าก็เป็นสัตว์ที่ต้องการการดูแลค่อนข้างสูง แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่มีความรักในกิจกรรมกลางแจ้งมาก

2. หากคุณเป็นคนที่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาว่างมากนัก

ในบางครั้งคุณอาจไม่มีเวลาให้กับสัตว์เลี้ยงมากนัก แต่ก็ยังอยากมีเพื่อนขนฟูหรือสัตว์เลี้ยงที่สามารถดูแลได้ง่าย ไม่ต้องการความสนใจตลอดเวลา

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• แมว - แมวเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างอิสระ ไม่ต้องการการดูแลตลอดเวลา พวกมันสามารถดูแลตัวเองได้ดี เช่น การใช้กระบะทราย แต่ก็ยังสามารถให้ความอบอุ่นและความรักกับคุณได้ในระดังนึง
• ปลา - ถ้าคุณอยากได้สัตว์เลี้ยงที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก ปลาในตู้ปลาเป็นตัวเลือกที่ดี พวกมันเพียงแค่ต้องการการให้อาหารและการดูแลคุณภาของน้ำอย่างสม่ำเสมอ
• กระต่าย - กระต่ายเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างสงบและไม่ต้องพาออกไปวิ่งเล่นเหมือนสุนัข แต่ก็ต้องการความใส่ใจในการทำความสะอาดและการให้อาหารเพียงเล็กน้อยของเจ้าของ

3. หากคุณรักสงบ ไม่ชอบเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ไม่ชอบสัตว์ที่ส่งเสียงดังหรือมีพลังงานมากเกินการควบคุมของคุณ คุณอาจจะต้องการสัตว์เลี้ยงที่อนู่เงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครมากนักและที่สำคัญก็คือต้องไม่ทำให้บ้านเสียงดัง

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• แมว - แมวโดยทั่วไปมีพฤติกรรมที่รักสงบและมักจะไม่รบกวนคุณมากนัก พวกมันชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวและทำกิจกรรมเงียบๆ เช่น การเลียขนตัวเองหรือการนอนหลับเกือบตลอดทั้งวัน
• เต่า - เต่าเป็นสัตว์ที่เงียบสงบมาก ไม่สร้างเสียงรบกวน และใช้ชีวิตค่อนข้างช้าๆ พวกมันไม่ต้องการการดูแลมากนัก แต่ก็ต้องการพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในระดับนึง

4. หากคุณเป็นคนชอบเอาใจใส่ ใส่ใจสิ่งรอบตัว รักการเข้าสังคม

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาใจใส่ ชอบให้สัตว์เลี้ยงเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับคุณและกับเพื่อนๆ หรือครอบครัว สัตว์เลี้ยงที่มีความรักในการเข้าสังคมและค่อนข้างขี้อ้อก็อาจจะเหมาะกับคุณ

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• สุนัขพันธุ์ที่รักการเข้าสังคม เช่น โกลเดน รีทรีฟเวอร์, ค็อกเกอร์ สแปเนียล, บีเกิล - สุนัขเหล่านี้มีนิสัยอ่อนโยนและเป็นมิตรกับทุกคน รวมถึงมักจะรักการเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
• แมวที่ขี้อ้อน - แมวบางพันธุ์ เช่น สฟิงซ์ หรือเบงกอล มักจะมีความต้องการการเข้าหามนุษย์และการเล่นในระดับที่สูง

5. หากคุณมีนิสัยเหมือนคุณครู สั่งสอนเก่ง มีความเป็นผู้นำและชอบให้คนอื่นทำตาม

หากคุณมีความเป็นผู้นำและชอบสอนเพื่อให้คนอื่นเรียนรู้ คุณอาจต้องการสัตว์ที่สามารถฝึกฝนและเรียนรู้คำสั่งได้ดี และต้องการให้สัตว์เลี้ยงของคุณโต้ตอบต่อคำสั่งของคุณตามที่เคยสอนหรือฝึก

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• สุนัขพันธุ์ฉลาด เช่น โคลลี, ปั๊ก, พุดเดิล - สุนัขเหล่านี้สามารถฝึกฝนและเรียนรู้คำสั่งต่างๆ ได้ง่าย มีความสามารถในการแก้ปัญหาหรือทำกิจกรรมที่ท้าทาย
• นก เช่น นกแก้ว - นกบางพันธุ์อย่างนกแก้วสามารถเรียนรู้คำพูดหรือคำสั่งได้ดี และยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของได้มาก รวมถึงสามารถฝึกให้บินอย่างอิสระได้อีกด้วย

6. หากคุณมีพื้นที่จำกัดหรืออาศัยในที่แคบ

บางคนอาจอาศัยอยู่ในคอนโดหรือพื้นที่ที่จำกัด ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ที่ต้องการพื้นที่มากหรือการออกกำลังกายที่มาก

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• แมว - แมวเหมาะกับที่อยู่ที่จำกัดเพราะไม่ต้องการพื้นที่มากนัก
• กระต่าย - กระต่ายสามารถเลี้ยงในพื้นที่เล็กๆ ได้และไม่ต้องการการเดินออกกำลังกายมากมาย
• ปลา - ตู้ปลามีขนาดไม่ใหญ่มาก และสามารถเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพื้นที่จำกัด

การเลือกสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับคุณที่สุดนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เวลาที่คุณสามารถให้กับสัตว์เลี้ยง ความสามารถในการดูแล และความชอบส่วนตัวของคุณครับ สัตว์เลี้ยงทุกชนิดมีจุดเด่นและจุดด้อยของลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการพิจารณาจากไลฟ์สไตล์และความสามารถในการดูแลของคุณจะช่วยให้คุณมีความสุขกับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้มากที่สุด! และถ้าหากใครที่สนใจผู้ช่วยในการทำความสะอาดบ้าน หรือกำลังมองหาแม่บ้านรายชั่วโมงที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล สามารถอ่านรายละเอียดการบริการได้ที่ bluuu เว็บไซต์ของเราได้เลยนะครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน

Thossaporn K.

แมงมุมอาจเป็นปัญหากวนใจสำหรับใครหลายคน แม้จะไม่ได้เป็นอันตรายโดยตรง แต่การพบใยแมงมุมตามมุมบ้านก็สร้างความรำคาญและทำให้บ้านดูไม่สะอาด ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีไล่แมงมุมจากบ้านที่ได้ผลจริง พร้อมเคล็ดลับในการป้องกันแมงมุมไม่ให้กลับมากวนใจคุณอีก

1.  เปลือกส้ม 

การใช้ เปลือกส้มไล่แมงมุม เป็นวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัยและได้ผลดี เนื่องจากเปลือกส้มมีน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นแรง ซึ่งเป็นกลิ่นที่แมงมุมไม่ชอบ นอกจากเปลือกส้มแล้ว เปลือกของผลไม้ประเภทซิตรัสอื่นๆ อย่างมะนาว หรือ เกรปฟรุต ก็มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน 

1. ใช้เปลือกส้มสดวางในจุดที่แมงมุมชอบอยู่

• นำเปลือกส้มสดมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
• วางไว้ตามมุมห้อง ใต้เฟอร์นิเจอร์ หรือตามจุดที่เคยพบแมงมุม
• เปลี่ยนเปลือกส้มทุก 2-3 วัน เพื่อให้กลิ่นยังคงสดใหม่

2. ทำน้ำสกัดเปลือกส้ม

• ปั่นเปลือกส้มกับน้ำสะอาดจนละเอียด
• กรองเอาแต่น้ำ แล้วใส่ในขวดสเปรย์
• ฉีดน้ำเปลือกส้มในบริเวณที่แมงมุมมักอยู่ เช่น ขอบประตู หน้าต่าง และมุมห้อง

2. น้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินต์

กลิ่นเปปเปอร์มินต์ที่สดชื่นสำหรับมนุษย์นั้นกลับเป็นกลิ่นที่แมงมุมและยุงไม่ชอบอย่างมาก

1. ทำสเปรย์ไล่แมงมุม

• เติมน้ำสะอาดลงในขวดสเปรย์
• หยดน้ำมันเปปเปอร์มินต์ลงไป 10-15 หยด
• หากต้องการ เพิ่มน้ำส้มสายชู 1-2 ช้อนโต๊ะ
• เขย่าขวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี
• ฉีดสเปรย์บริเวณที่มักพบแมงมุม เช่น ขอบประตู หน้าต่าง ใต้เฟอร์นิเจอร์ และมุมห้อง

2. ใช้สำลีชุบน้ำมันเปปเปอร์มินต์

• หยดน้ำมันเปปเปอร์มินต์ลงบนสำลี 2-3 หยด
• วางสำลีตามจุดที่มักพบแมงมุม เช่น รอยแตก รอยรั่ว หรือช่องระบายอากาศ
• เปลี่ยนสำลีทุก 2-3 วัน เพื่อให้กลิ่นยังคงเข้มข้น

3. เติมเปปเปอร์มินต์ลงในน้ำถูพื้น

• ผสมน้ำมันเปปเปอร์มินต์ 10-15 หยดลงในน้ำถูพื้น
• ใช้ถูพื้นบริเวณบ้าน โดยเฉพาะตามมุมและพื้นที่ที่แมงมุมอาจซ่อนตัว

3. ขมิ้น 

ขมิ้นไม่เพียงจะเป็นเครื่องเทศที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยกำจัดแมงมุมได้ดีมากด้วย

1. ทำสเปรย์ขมิ้นไล่แมงมุม

• ผสมผงขมิ้นกับน้ำสะอาดในขวดสเปรย์
• หากต้องการเพิ่มความเข้มข้น เติมน้ำส้มสายชู 1-2 ช้อนโต๊ะ
• เขย่าขวดให้ส่วนผสมเข้ากันดี
• ฉีดพ่นตามมุมห้อง ขอบประตู หน้าต่าง และบริเวณที่พบแมงมุม

2. วางขมิ้นสดในจุดที่ต้องการไล่แมงมุม

• หั่นขมิ้นสดเป็นชิ้นเล็ก ๆ
• วางขมิ้นในมุมที่แมงมุมชอบอยู่ เช่น ใต้โต๊ะ ใต้ตู้ หรือมุมห้อง
• เปลี่ยนขมิ้นสดทุก 2-3 วัน เพื่อให้กลิ่นและสารในขมิ้นยังคงออกฤทธิ์

ข้อควรระวัง: ระวังการฉีดส่วนผสมของขมิ้นใกล้กับเฟอร์นิเจอร์ กำแพง หรือพื้นที่ล้างออกได้ยาก

4. หัวหอม 

วิธีเก่าแก่ที่ปู่ย่าบอกต่อกันมา นั่นคือ วางหัวหอมในชามน้ำ เพื่อไล่แมงมุม

• หั่นหัวหอมเป็นชิ้นใหญ่ ๆ
• วางหัวหอมในชามหรือถ้วยที่มีน้ำ
• นำชามไปวางในบริเวณที่แมงมุมมักจะเข้ามา เช่น ใกล้ประตูหรือมุมห้อง

ข้อควรระวัง: หากใช้ในที่ร้อนหรืออับ อาจดึงดูดแมลงบางชนิดแทน จึงควรทำความสะอาดบริเวณนั้นบ่อย ๆ

5. น้ำส้มสายชู

น้ำส้มสายชูก็เป็นอีก 1 อย่างที่สามารถไล่แมงมุมได้เช่นเดียวกัน คุณสามารถทำสเปรย์น้ำส้มสายชูไล่แมงมุมได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

• ผสมน้ำส้มสายชูกับน้ำในอัตราส่วน 1:1
• เทส่วนผสมลงในขวดสเปรย์และเขย่าให้เข้ากัน
• ฉีดสเปรย์บริเวณที่แมงมุมมักอยู่ เช่น มุมห้อง ขอบประตู หน้าต่าง และใต้เฟอร์นิเจอร์
• ฉีดซ้ำทุก 2-3 วัน หรือเมื่อกลิ่นเริ่มจาง

6. ไม้ซีดาร์ 

ไม้วีดาร์ หรือ ซีดาร์ มีน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติที่ให้กลิ่นหอมสดชื่นสำหรับมนุษย์ แต่กลับเป็นกลิ่นที่แมงมุมและแมลงบางชนิดไม่ชอบ สารในไม้วีดาร์ เช่น เซสควิเทอร์พีนและซีดาร์วูดออยล์ สามารถรบกวนประสาทสัมผัสของแมงมุม ทำให้พวกมันหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีกลิ่นนี้

1. ใช้ชิ้นไม้ซีดาร์วางตามจุดต่าง ๆ

• นำชิ้นไม้ซีดาร์มาวางตามมุมห้อง ใต้เฟอร์นิเจอร์ หรือบริเวณที่มักพบแมงมุม
• เปลี่ยนชิ้นไม้ใหม่ทุก 6-12 เดือน หรือเมื่อกลิ่นเริ่มจาง

2. ใช้ซีดาร์วูดออยล์ (น้ำมันหอมระเหยจากไม้ซีดาร์)

• ผสมน้ำมันซีดาร์วูด 10-15 หยดกับน้ำสะอาด 1 ถ้วยในขวดสเปรย์
• ฉีดสเปรย์บริเวณที่มักพบแมงมุม เช่น มุมห้อง ขอบประตู และหน้าต่าง
• ฉีดซ้ำทุก 1-2 สัปดาห์ หรือเมื่อกลิ่นเริ่มจาง

วิธีป้องกัน

1. ปิดทางเข้า-ออกของแมงมุม

• ตรวจสอบบ้าน: หาและปิดรอยแตกหรือช่องโหว่ในผนัง พื้น ประตู และหน้าต่าง
• ใช้วัสดุอุดรอย: ใช้ซิลิโคนหรือวัสดุอุดรอยรั่วเพื่อปิดช่องว่างที่แมงมุมอาจเข้ามาได้
• ติดมุ้งลวด: ติดตั้งมุ้งลวดที่หน้าต่างและช่องระบายอากาศ

2. รักษาความสะอาดบ้าน

• ทำความสะอาดเป็นประจำ: ปัดกวาดใยแมงมุมทุกครั้งที่พบ เพื่อไม่ให้แมงมุมมีที่อยู่
• หลีกเลี่ยงการเก็บของรก: จัดระเบียบบ้าน โดยเฉพาะมุมห้อง ตู้เก็บของ และใต้เฟอร์นิเจอร์
• กำจัดเศษอาหารและขยะ: เศษอาหารอาจดึงดูดแมลงตัวเล็ก ๆ ซึ่งเป็นอาหารของแมงมุม

3. ควบคุมแสงไฟภายนอก

• ลดการเปิดไฟภายนอก: แสงไฟดึงดูดแมลง และแมงมุมมักตามมาเพื่อจับแมลงเหล่านั้น
• เปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED สีเหลือง ซึ่งมีแนวโน้มดึงดูดแมลงน้อยกว่า

4. ตัดแต่งต้นไม้และพุ่มไม้รอบบ้าน

• ต้นไม้หรือพุ่มไม้ใกล้บ้านอาจเป็นสะพานให้แมงมุมเข้ามา
• ตัดแต่งต้นไม้ให้ห่างจากตัวบ้านประมาณ 1 เมตร

ถึงแม่ว่าแม่บ้านจะไม่สามารถช่วยไล่แมงมุมได้ แต่หากคุณต้องการผู้ช่วยในการรักษาความสะอาดเพื่อการป้องกันแมงมุมในระยะยาวล่ะก็ แม่บ้าน bluuu ทำได้แน่นอน! ผมคอนเฟิร์มเลยล่ะครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน 

Thossaporn K.

ผมเป็นชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในต่างแดนและเป็นเจ้าของธุรกิจในประเทศไทยที่อาศัยอยู่ที่กรุงเทพฯ มามากกว่าแปดปีแล้ว นี่คือรายชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นที่ผมแนะนำ 10 อันดับแรกในใจกลางกรุงเทพฯ ที่ให้บริการอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ หลากหลายชนิด

ช่วงนี้อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย และผมได้ยินว่าจำนวนร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าภายในทศวรรษนี้! ดังนั้นรายชื่อนี้จึงยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และยังมีร้านอาหารดีๆ อีกมากมายที่ให้บริการอาหารญี่ปุ่นคุณภาพ แต่รายชื่อต่อไปนี้เป็นรายชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ที่ผมแนะนำมากที่สุดในราคาไม่เกิน 500 บาทต่อคน

ร้านอาหารนี้ไม่ได้จัดลำดับตามความชอบ แต่จัดกลุ่มเพื่อความสะดวกของคุณ 1-5 คือร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ ที่บริหารโดยเจ้าของชาวญี่ปุ่น 6-7 คือร้านอาหารญี่ปุ่นที่บริหารโดยเจ้าของคนไทย 8-10 คือร้านอาหารกึ่งเครือข่ายที่มีหลายสาขา ผมไม่ได้รวมร้านอาหารเครือข่ายใหญ่ๆ เช่น Fuji, Zen, Otoya, Yayoi, Hachiban, Pepper Lunch ฯลฯ หรือเครือร้านทงคัตสึอื่นๆ เนื่องจากคุณสามารถหาได้แทบทุกที่และส่วนใหญ่คงไม่จำเป็นต้องแนะนำ

1. Misato (味里) - สีลม

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่รสชาติต้นตำรับที่สุดที่ผมเคยกินมาในเมืองไทย บริหารงานโดยเชฟชาวญี่ปุ่นอาวุโสที่อาศัยอยู่ที่นี่มาหลายสิบปี รสชาติอาหารที่นี่เป็นของแท้ที่สุด แม้จะอยู่ในบ้านเกิดของผมที่โตเกียวก็หาคุณภาพแบบนี้ได้ยาก เชฟยังคงทำอาหารเองอยู่ ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณภาพอาหารที่นี่สูงมาก เมนูมีอาหารญี่ปุ่นหลากหลายชนิด เช่น แกงกะหรี่คัตสึ เทมปุระ อุด้ง ซาซิมิ ฯลฯ ถั่วแระญี่ปุ่นปรุงมาได้พอดี มีผ้าเช็ดมือเปียกเสิร์ฟเหมือนที่ญี่ปุ่น ร้านนี้ตั้งอยู่บนชั้น 1 ของอาคารชาญอิสสระ สีลม ภายนอกร้านไม่โดดเด่นและมองไม่เห็นด้านใน ดังนั้นต้องทีความกล้านิกหน่อยที่จะเข้าไป แต่รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง งบประมาณ 300-400 บาทต่อคน

2. Torihada (鳥波多) - พร้อมพงษ์

ร้านยากิโทริ (ไก่ย่างญี่ปุ่น) ที่ดีที่สุดในไทย บางทีอาจจะอร่อยกว่าที่โตเกียวด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่ไก่ที่ไทยถึงอร่อยกว่าที่ญี่ปุ่น บางทีอาจเป็นเพราะไก่เติบโตดีกว่าหรืออาจเป็นเพราะสภาพอากาศก็ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ยากิโทริที่นี่ก็อร่อยจริงๆ มีชิ้นส่วนไก่ให้เลือกหลากหลาย ย่างด้วยถ่านทั้งหมด ร้านเป็นแบบอิซากายะ จึงมีเครื่องดื่มเหล้าให้เลือกหลากหลาย เช่น โชจูและสาเก แต่ครอบครัวก็ไปกินได้ งบประมาณจะอยู่ที่ประมาณ 400-500 บาทต่อคน แต่รับรองว่าคุ้มค่าทุกบาท พนักงานได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีและทำให้คุณลืมไปเลยว่าอยู่ที่กรุงเทพฯ

3. Suikin (水琴) - สีลม

ร้านอาหารญี่ปุ่นหนึ่งในคุณภาพสูงสุดแต่ราคายังเอื้อมถึงได้ โดยราคาอยู่ที่ 500+ บาทต่อคน ส่วนเซ็ตอาหารกลางวันราคาสมเหตุสมผลอยู่ที่ 300 บาท ตั้งอยู่บนชั้น 22 ของอาคารรามาแลนด์ สีลม บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับการรับประทานอาหารกับลูกค้าเพื่อธุรกิจ แต่ก็ไม่เป็นทางการมากเกินไป เพราะสามารถมากับครอบครัวก็ได้ พนักงานเสิร์ฟสวมชุดกิโมโนแท้ จานได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ไม่เพียงแต่รสชาติดีเท่านั้น แต่ยังดูดีอีกด้วย เมื่อก่อนร้านนี้เคยอยู่ในบ้านที่ชิดลม แต่ได้ย้ายมาที่ตึกนี้ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นก็ใช้ที่นี่เช่นกัน

4. Okinawa Kinjo (沖縄食堂 金城) - พระโขนง

ร้านอาหารโอกินาว่าที่ดีที่สุดในเมือง ที่มีอาหารจานดั้งเดิม เช่น โซกิโซบะ (บะหมี่ซุปหมู) และโกยะชัมปุรุ (ผัดมะระและหมู) บรรยากาศเป็นแบบท้องถิ่นและเป็นกันเองมากกว่า งบประมาณอาจแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาทต่อคน โปสเตอร์บนผนังล้วนเกี่ยวกับโอกินาว่าเขตร้อน และบรรยากาศแบบสโลว์ไลฟ์ก็เข้ากันได้ดีกับประเทศไทย ไม่มีที่จอดรถ แต่คุณสามารถจอดรถได้ที่ Summerpoint ฝั่งตรงข้ามถนน เดินเพียง 1 นาทีจาก BTS พระโขนง

5. Isshin (そば割烹 一芯) - พร้อมพงษ์

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีบรรยากาศแบบท้องถิ่นที่สุด ให้บริการอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ ในราคาที่สมเหตุสมผล กลิ่นและบรรยากาศทำให้คุณรู้สึกเหมือนอยู่ในร้านอาหารท้องถิ่นในเขตชานเมืองของโตเกียว งบประมาณอยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณสั่ง มีบรรยากาศแบบอาหารญี่ปุ่นแบบโฮมเมดสำหรับครอบครัว บางครั้งผมสั่งข้าวกล่องเบนโตะจากของร้านนี้ผ่าน Grab เดินเพียงไม่กี่นาทีจาก BTS พร้อมพงษ์ ซึ่งเป็นที่ที่ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ ดังนั้นคุณจะเห็นครอบครัวชาวญี่ปุ่นจำนวนมากมาทานอาหารที่นี่

6. The Japan restaurant - ช่องนนทรี

ร้านอาหารญี่ปุ่นราคาประหยัดที่สุดที่ให้บริการซาซิมิคุณภาพสูงในบรรดาอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอื่นๆ ตั้งอยู่ติดกับสมาคมญี่ปุ่นแห่งประเทศไทย ใกล้กับ BTS ช่องนนทรีที่สาทร เจ้าของเป็นคนไทย ดังนั้นชาวญี่ปุ่นอาจสังเกตเห็นรสชาติไทยปรุงแต่งในอาหารบางจาน แต่ซาซิมิและปลาที่นี่มีคุณภาพดีเยี่ยม ราคาเหมาะสมที่สุดอยู่ที่ประมาณ 200-300 บาทต่อคน ช่วงเวลาอาหารเที่ยงในวันธรรมดาจะแน่นขนัดไปด้วยพนักงานออฟฟิศทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทย และต้องรอประมาณ 15-20 นาที

7. Aoi (葵) - สีลม พารากอน เอ็มโพเรียม

ร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆที่สุดที่เจ้าของคนไทยในประเทศไทย โดยพนักงานเสิร์ฟจะสวมชุดกิโมโนแบบดั้งเดิม ราคาอาหารจะอยู่ระหว่าง 400-600 บาทขึ้นไปต่อคน ผมแนะนำเซ็ต “อุด้งสุกี้” ในราคา 900 บาทสำหรับ 2-3 ท่าน น้ำซุปรสชาติต้นตำรับ ผักสดคุณภาพสูง เนื้อสัตว์ และอาหารทะเลสดอื่นๆ ร้านอาหาร 3 ชั้นแห่งแรกตั้งอยู่ที่สีลม แต่ยังมีสาขาอื่นอีก 2 สาขาที่พารากอนและเอ็มโพเรียม การตกแต่งภายในเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ คุณภาพสูง ทำให้คุณสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแบบปีใหม่ที่ญี่ปุ่นพร้อมเสียงเครื่องดนตรีพื้นเมืองญี่ปุ่นที่บรรเลงเป็นพื้นหลัง

8. Ramen tei (らあめん亭) - พร้อมพงษ์ สีลม

อาหารญี่ปุ่นเกรด B ที่ดีที่สุด เช่น ราเม็ง ข้าวผัด เต้าหู้มาโบ ไก่ทอด มีให้บริการในงบประมาณประมาณ 250-300 บาทต่อคน เราเรียกอาหารท้องถิ่นเหล่านี้ว่า “เกรด B” เนื่องจากมักจะสั่งได้อย่างรวดเร็วและไม่แพงเท่ากับอาหารระดับสูงอื่นๆ เช่น ซูชิ ตามชื่อนี้บอกอยู่แล้วว่าจะมีน้ำมันมากกว่าอาหารญี่ปุ่นอื่นๆ เล็กน้อย เหมาะสำหรับครอบครัว มีครัวเปิดตรงกลางเพื่อให้คุณได้เห็นและสัมผัสพลังของพ่อครัวที่กำลังปรุงอาหารในขณะที่คุณรออาหาร ร้านนี้มี 3 สาขาแค่ที่พร้อมพงษ์ เนื่องจากชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่นั่น แต่ยังมีอีก 1 สาขาที่สีลมด้วย

9. Hokkaido Butadon Tokachi (北海道豚丼とかち) - สีลม, สาทร, พระราม 9

ร้านข้าวหน้าหมูย่างเครือข่ายจากญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศไทย โดยเสิร์ฟข้าวหน้าหมูสูตรเดียวกับร้านดั้งเดิมที่ฮอกไกโด เจ้าของร้านเป็นคุณผู้หญิงคนไทยอีกคนที่เคยไปเที่ยวฮอกไกโดและรู้สึกประทับใจกับรสชาติของร้านนี้มาก จึงได้เจรจาขอนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ราคาสมเหตุสมผลอยู่ที่ประมาณ 200-300 บาทต่อท่าน โดยอาหารเซ็ตจะเสิร์ฟพร้อมซุปมิโซะและสลัดกะหล่ำปลีขนาดเล็กพร้อมน้ำสลัดข้าวโพดรสชาติดี ส่วนไก่ย่างยากิโทริก็อร่อยไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ยังมีครีบปลากระเบนแห้งที่เรียกว่า “เอฮิเระ” ซึ่งมีรสหวานและเค็มเมื่อรับประทานกับมายองเนส ซึ่งมักจะเสิร์ฟในอิซากายะ ปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 5 สาขาที่สีลม สาทร และพระราม 9

10. Shiko Udon Bar (至高) - สาทร, สีลม, ชิดลม

น้ำซุปอุด้งรสชาติต้นตำรับที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย โดยร้านอุด้งแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดในประเทศไทยเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา น้ำซุปปลาแท้ๆ นอกประเทศญี่ปุ่นนั้นหาได้ยาก ยกเว้นแต่ในร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียมที่ขายซูชิราคาแพง แต่น้ำซุปอุด้งที่นี่มีรสชาติต้นตำรับและอร่อยที่สุดที่ผมเคยทานนอกญี่ปุ่น ผมชอบอุด้งคาโมะ (เป็ด) เป็นพิเศษ เพราะเนื้อเป็ดรมควันเข้ากันได้ดีกับน้ำซุปคุณภาพสูง อาหารจานอื่นๆ ก็อร่อยและน่ารับประทานเช่นกัน แต่ราคาก็ยังถือว่าเอื้อมถึงได้ โดยอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาทต่อคน

ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ ผมเป็นเจ้าของบริการแม่บ้านทำความสะอาดออนไลน์ที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในราคาอาหารญี่ปุ่น 1 หรือ 2 มื้อ คุณสามารถจองแม่บ้านที่เราคัดสรรมาอย่างดีมาทำความสะอาดบ้านของคุณได้ ดังนั้นถ้าคุณต้องการบริการแม่บ้านรายวันหรือรายสัปดาห์ โปรดไปที่ลิงก์นี้ เรามีแม่บ้านคุณภาพดีที่สุดในประเทศไทย

ขอบคุณที่อ่านจนจบ 🙏

===

เขียนโดย Daigo Yoda

ผู้ก่อตั้งและ CEO Bluuu

ปกติแล้วเสื้อขนเป็ดไม่แนะนำให้ซักบ่อย เสื้อขนเป็ดบางชนิดมีคุณสมบัติกันเปียก เพราะมีการเคลือบสารที่ทำให้ผ้ากันน้ำ กันชื้นได้ เสื้อขนเป็ดทั่วไปก็เช่นกัน บางแบรนด์ไม่แนะนำให้ซัก ถ้าไม่มีคราบหนัก แค่ใช้ผ้าชุบสบู่เช็ดแล้วผึ่งลม ตากในที่ร่มให้แห้งก็พอ 

อย่างไรก็ตาม จะซักเสื้อขนเป็ดหรือไม่ซักทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานและ ที่สำคัญที่สุดต้องดู Tag ที่เสื้อทุกครั้ง เป็นเสื้อขนเป็ดเหมือนกัน แต่จะซักเหมือนกันไม่ได้ บางยี่ห้อซักเครื่องได้ บางยี่ห้อห้ามซักเครื่อง และมีบางยี่ห้อที่ห้ามซักแห้ง 

แต่คนไทยอย่างเราที่อาบน้ำวันละ 2 ครั้ง คงรู้สึกหงุดหงิดกันอยู่บ้างถ้าไม่ได้ซักเสื้อผ้า ถ้าถามว่าเสื้อขนเป็ดซักได้ไหม ตอบว่า ซักได้ค่ะ แต่ต้องซักให้ถูกวิธี ใช้น้ำยาซักผ้าที่เหมาะสม หากซักเสื้อขนเป็ดไม่ถูกวิธีอาจทำให้เสื้อขนเป็ดมีกลิ่นเหม็น เสื้อบาง ขนไม่ฟูเหมือนตอนซื้อมาแรกๆ หรือซักจนขนข้างในเสื้อมากองรวมกัน ทางทีมแม่บ้าน Bluuu จึงมาแนะนำวิธีการซักเสื้อขนเป็ดที่ถูกต้องกันค่ะ

ใช้น้ำยาซักผ้าที่เหมาะกับการซักเสื้อขนเป็ด

        ใช้น้ำยาซักผ้า Down cleaner ในการทำความสะอาดเสื้อขนเป็ด  : “Down wash” หรือ “Down Cleaner” เป็นน้ำยาซักผ้าเฉพาะ สำหรับซักผ้าที่มีเส้นใยขนเป็ด ขนห่าน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือเครื่องนอนที่ทำจากขนเป็ดก็ตาม น้ำยาชนิดนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ทำลายไขมันธรรมชาติ ไม่ทำลายประสิทธิภาพของขนเป็ดหรือขนห่านไปนั่นเอง สามารถหาซื้อได้ตามช่องทางออนไลน์และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

ซักเสื้อขนเป็ดด้วยมือ 

• เตรียมอ่างหรือกะละมังขนาดใหญ่ในการซักเสื้อขนเป็ด ซึ่งต้องใช้วิธีซักแบบแนวราบ 
• ใส่น้ำอุณหภูมิปกติ และใช้น้ำยาซักเสื้อขนเป็ดโดยเฉพาะ (Down Cleaner) 
• ใช้มือลูบทำความสะอาดเบาๆ แช่ทิ้งไว้ 15 นาที ห้ามยกขึ้นมาบิดหรือขยี้แรงๆ
• เมื่อครบเวลาแล้วให้เทน้ำออกโดยไม่ต้องยกเสื้อขนเป็ดขึ้นมา
• แช่น้ำเปล่า ใช้มือกดเสื้อในแนวราบ ให้ฟองออกจนหมด 
• ใช้มือกดเบาๆ ไล่น้ำออกจนหมดและนำไปตาก ควรตากในที่ร่ม หรือที่แดดอ่อนๆ 
• หมั่นสะบัดเสื้อบ่อยๆ เพื่อให้ขนเป็ดฟู ไม่จับกันเป็นก้อน

ซักเสื้อขนเป็ดด้วยเครื่องซักผ้า

• เตรียมผ้าในการซัก โดยรูดซิปและติดตีนตุ๊กแกให้ครบ นำใส่ถุงซักผ้า
• ซักโหมด Gentle เครื่องฝาหน้า หรือโหมดผ้าขนสัตว์ ใช้น้ำอุณหภูมิไม่เกิน 30-40 องศาในการซักเสื้อขนเป็ด *ไม่ควรใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม

• อบด้วยเครื่องอบผ้า หากที่บ้านไม่มีเครื่องอบแนะนำที่ร้านซักผ้าหยอดเหรียญที่มีบริการเครื่องอบผ้า ตอนอบให้ใส่ลูกบอลบอลอบผ้าหรือลูกเทนนิสเข้าไป 2-3 ลูก ลูกเทนนิสจะช่วยตีขนให้ฟู อบใช้ความร้อนปานกลาง 15-30 นาที หรืออุณหภูมิต่ำ 25-30 นาที จนกว่าจะแห้งสนิทดี หากไม่มั่นใจให้ผึ่งลมไว้ก่อนจัดเก็บ 
• การอบผ้าเป็นสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญเพราะนอกจากจะช่วยให้เสื้อขนเป็ดกลับมานุ่มฟูแล้ว ยังทำให้แห้งสนิทด้วย แต่อย่าลืมว่าเสื้อขนเป็ดบางยี่ห้อก็ไม่เหมาะกับการเข้าเครื่องอบผ้าค่ะ 

เสื้อขนเป็ดบางยี่ห้อ มีคำแนะนำที่แตกต่างกัน ผู้ใช้งานควรตรวจสอบ Tag ป้ายเสื้อทุกครั้ง เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เพราะทำจากเส้นใยธรรมชาติ ค่อนข้างบอบบางและต้องดูแลอย่างเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงควรหาวิธีซักเสื้อขนเป็ดที่ถูกต้องและดูแลอย่างรอบคอบ 

หรือหากคุณกำลังมองหาแม่บ้านรายชั่วโมง มาช่วยทำความสะอาดบ้าน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล สามารถอ่านรายละเอียดและราคาให้บริการได้ที่ Bluuu Price 

เกี่ยวกับผู้เขียน

Uthaiwan B.

“Winter is coming” ฤดูหนาวที่หลายคนชื่นชอบและวางแผนที่จะไปเที่ยวต่างประเทศเพื่อสัมผัสอากาศเย็นและหิมะที่สวยงาม แต่การเดินทางไปเมืองหนาวนั้นสำหรับคนไทยอาจจะต้องเตรียมตัวไปให้ดีเพราะสภาพอากาศที่มีหิมะหนาวเย็นและแตกต่างจากประเทศไทยอย่างมากทำให้หลายคนหากเตรียมตัวไปไม่ดีก็อาจจะเจ็บป่วยจากการที่ร่างการปรับอุณหภูมิไม่ทันได้อย่างแน่นอน รีบมาดู Check list เตรียมตัวเที่ยวเมืองหนาวพร้อมลุยหิมะอุณหภูมิติดลบ กันได้เลย

เสื้อผ้าและขุดกันความหนาว

• เสื้อกันหนาวตัวนอก แนะนำเป็นเสื้อขนเป็ด, Overcoat, เสื้อเฟอร์ขนสัตว์ หรือจะแบบ Puffer Coat ที่ผลิตจากขนห่าน ผ้าวูล สามารถกักเก็บความร้อนได้และช่วยกันความหนาวจากหิมะได้ดี
• เสื้อกันหนาวตัวใน ควรหาเสื้อที่มีความอุ่น เช่น ไหมพรม,เสื้อคอเต่า,Heattech,สเวตเตอร์ เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย กันหนาวจากหิมะ
• ลองจอน สำคัญมากเพราะจะช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้นจากเนื้อผ้าที่มีความหนาเป็นพิเศษ ควรใส่ทุกวันเป็นเสื้อชั้นแรกเมื่อต้องเจอกับหิมะ
• ผ้าพันคอ เลือกผ้าพันคอไหมพรมหรือผ้าที่ผลิตจากผ้าวูลก็จะช่วยให้ไม่คันและเพิ่มความอุ่นได้ดี
• ถุงมือ แนะนำเป็นถุงมือหนังที่มีผ้า Heattech เนื้อผ้าแคชเมียร์หรือผ้าหนาพิเศษและให้เลือกถุงมือที่สามารถทัชสกรีนโทรศัพท์เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
• หมวกไหมพรม หรือหมวกกันหนาวนจากลมหรือหิมะด้วยขนเฟอร์จากสัตว์หรือที่มีความหนาพิเศษแนะนำให้เลือกที่พอดีกับศีรษะไม่หลวมหรือไม่แน่นจนเกินไป
• ถุงเท้า ควรเลือกเป็น ถุงเท้า Heattech หรือทำจากผ้าวูลหรือกำมะหยีก็จะทำให้มีความหนานุ่มเก็บควาามร้อนจากร่างกายช่วยกันหนาวจากหิมะได้ดี
• รองเท้า ถ้าต้องลุยหิมะเยอะแนะนำเป็นรองเท้ากันหิมะ เช่น รองเท้าบูทที่บุขนสัตว์ด้านใน สามารถกันน้ำและกันลื่นจากหิมะได้ดี แต่หากไม่ต้องลุยหิมะมากนักแนะนำเป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาได้แต่ให้ระวังลื่น

Item ช่วยชีวิตให้รอดจากความหนาว

• ถุงร้อนกันหนาว แนะนำเป็นถุงร้อนแบบพกพาที่ให้ความร้อนนานถึง 10 ชั่วโมง นำใส่ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวเพื่อให้สามารถใช้มือกำเพิ่มความร้อนให้ร่างกายเมื่อเจอหิมะหรืออากาศหนาวจัด
• หน้ากาก หากอุณหภูมิติดลบควรใช้หน้ากากผ้าปิดจมูกกันหนาว โดยเฉพาะลมแรงแล้วหายใจโดยไม่มีหน้ากากผ้าก็จะทำให้หายใจลำบากและหนาวมากนั่นเอง
• ที่ปิดหูกันหนาว เมื่อเจออากาศหนาวจัดหูของคนเราจะเย็นอย่างรวดเร็วและสามารถเกิดอาการบาดเจ็บได้ ใครขี้หนาวหรือไม่สามารถทนหิมะได้ควรใส่ที่ครอบหูหรือที่ปิดกันหนาวไปด้วย
• แว่นตา หากเจอหิมะและลมแรง หิมะเข้าตาอาจจะให้ตาเกิดการระคายเคืองได้ควรใส่แว่นกันลมและหิมะเข้าไปด้วยจะให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น

ของใช้จำเป็นอื่นๆ

• มอยส์เจอไรเซอร์ อากาศหนาวทำให้ผิวหน้าและผิวกายแห้งมากที่สุด อย่าลืมทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้าและผิวกาย สำคัญและจำเป็นมากป้องกันไม่ให้ผิวแห้งลอกและแตกได้
• ลิปบาล์ม นอกจากผิวแห้งแล้วปากก็ยังแตกได้ถ้าเจออากาศหนาวเย็นมาก แนะนำพกลิปมันหรือลิปบาล์มติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา หมั่นทาระหว่างวันเพิ่มความชุ่มชื่นให้ริมฝีปากบ่อยๆ
• ยาสามัญประจำตัว ก่อนที่จะพกยาติดกระเป๋า อย่าลืมตรวจสอบยาที่ห้ามนำเข้าของแต่ละประเทศด้วยเนื่องจากแต่ละประเทศมีการนำเข้ายาบางชนิดไม่เหมือนกัน ศึกษาและตรวจสอบก่อนเดินทาง ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกห้ามนำเข้าประเทศได้ หลักๆ ที่แนะนำให้พกติดตัว คือ ยาแก้แพ้ เมารถ ยาแก้ปวด เป็นต้น
• แบตเตอรี่สำรอง เมื่อเจออากาศหนาวและหิมะแบตเตอรี่ในโทรศัพท์มือถือจะหมดลงอย่างรวดเร็ว แนะนำอย่าใช้โทรศัพท์ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็นนานๆ เพราะจะทำให้โทรศัพท์ของคุณ ดับลงอย่างทันที วิธีแก้ไขเมื่อโทรศัพท์ดับให้นำถุงร้อนมาประคบเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้โทรศัพท์และรอสักพักจนกว่าอุณหภูมิของเครื่องจะอุ่นขึ้นก็จะสามารถใช้งานได้ปกติ ควรชาร์จแบตหลังจากเปิดเครื่องติดแล้วเท่านั้น
• กระเป๋าใส่สัมภาระ กระเป๋าใส่ของใช้ระหว่างวัน อย่าลืมเลือกเป็นกระเป๋าผ้าแบบกันน้ำหรือผ้าร่มจะใช้งานได้ดีเพราะอาจจะต้องเจอกับหิมะกระเป๋าจะได้ไม่เปียก เลือกกระเป๋าที่มีช่องใส่สิ่งของหลายๆ ช่องมีซิปปิดหนาแน่นและพกสัมภาระเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

ก่อนเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองหนาวหิมะ อย่าลืมเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางเพื่อจะได้เตรียมความพร้อมไปให้ได้มากที่สุดและสำคัญอย่าลืมที่จะเตรียมร่างกายให้พร้อมเผชิญหน้ากับความหนาวเย็นด้วย เพื่อให้การเที่ยวเมืองหนาวและการเจอหิมะของทุกคนมีความสุขและสนุกที่สุดตลอดทั้งทริปนั่นเอง สำหรับใครที่ไปเที่ยวหลายวันและไม่มีเวลาทำงานบ้านก็จ้างแม่บ้านรายวัน แม่บ้านรายชั่วโมง ได้ที่ Bluuu ราคากันเอง แม่บ้านคุณภาพดี รับรองบ้านสะอาดเที่ยวได้อย่างสบายใจ

เกี่ยวกับผู้เขียน

Nannicha P.

การจัดกระเป๋าเดินทางอาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับหลายๆคน โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องพกของหลายอย่างในพื้นที่จำกัด นั่นก็คือ กระเป๋าเดินทาง เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถจัดกระเป๋าได้อย่างมีประสิทธิภาพและใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้คุ้มค่าที่สุด

1. ใช้เทคนิคการม้วนเสื้อผ้า

การม้วนเสื้อผ้าเป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ในกระเป๋าได้มากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่ช่วยให้กระเป๋าเดินทางเก็บเสื้อผ้าได้มากกว่าเดิม แต่ยังช่วยให้เสื้อผ้าไม่ยับเหมือนกับการพับเสื้อผ้า วิธีนี้จะช่วยลดปัญหาความยุ่งยากในการรีดเสื้อผ้าหลังจากการเดินทางไปถึงที่หมาย นอกจากนี้ การม้วนเสื้อผ้ายังทำให้สามารถจัดเก็บเสื้อผ้าในแนวตั้งหรือในช่องว่างที่เหลืออยู่ในกระเป๋าเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

​​วิธีม้วนเสื้อ 

1. วางเสื้อยืดบนพื้นหรือบนโต๊ะให้เรียบ
2. พับแขนเสื้อไปข้างในเพื่อให้เสื้อเป็นรูปสี่เหลี่ยม
3. พับส่วนล่างของเสื้อขึ้นมา (ประมาณ 1/3 ของความยาวเสื้อ)
4. เริ่มม้วนจากด้านล่างขึ้นไปจนถึงคอเสื้อ
5. ม้วนให้แน่นป็นรูปทรงกระบอกแล้วจัดเรียงลงในกระเป๋าเดินทาง

วิธีม้วนกางเกง

1. วางกางเกงให้เรียบบนพื้น
2. พับขากางเกงให้ตรงกัน
3. พับเอวขึ้นมาให้เรียบ (ถ้ากางเกงมีขนาดยาวมากอาจพับให้เหลือครึ่งหนึ่ง)
4. ม้วนกางเกงจากปลายขากางเกงขึ้นไปจนถึงเอว
5. ม้วนให้แน่นแล้วจัดเรียงลงในกระเป๋าเดินทาง

2. ใช้ถุงสุญญากาศช่วย

การใช้ถุงซิปล็อค เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีมากๆถ้าหากคุณไปเที่ยวเมืองหนาว ถุงซิปล็อคสุญญากาศจะช่วยให้การจัดระเบียบเสื้อผ้าและสิ่งของต่างๆในกระเป๋าเดินทาง ให้เป็นระเบียบมากขึ้น และเมื่อใส่สิ่งของหรือเสื้อผ้าลงในถุงซิปล็อค เราก็สามารถดูดหรือบีบอากาศออกจากถุงเพื่อช่วยลดขนาดของเสื้อผ้าหรือของที่ต้องการพกพาไปด้วยได้ แถมยังช่วยป้องกันการรั่วซึมของของเหลวนั้นๆ รวมถึงความสะอาดและป้องกันไม่ให้เสื้อผ้ามีกลิ่นติดอีกด้วย

3. ใช้ถุงเท้าห่อสิ่งของที่แตกง่าย

หากคุณพกพาสิ่งของที่แตกหักได้ง่าย แทนที่คุณจะม้วนเก็บถุงเท้าตามปกติ คุณก็สามารถที่จะนำถุงเท้ามาห่อสิ่งของเปราะบางแตกง่ายได้เหมือน เพื่อป้องกันการชำรุดเสียหายและประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าเดินทางไปในตัว

4. นำกางเกงหรือเสื้อผ้าที่มีความหนาไว้ด้านล่าง 

ในการจัดกระเป๋าเดินทางเป็นเวลาหลายๆวันนั้น เราควรวางเสื้อผ้าที่มีความหนา เช่น กางเกงยีนส์ ไว้ใต้สุด เพราะหากนำผ้าที่หนามาวางไว้ด้่านบน จะทำให้บดบังพื้นที่ในกระเป๋าเดินทางบางส่วนได้ และถ้าเรานำเสื้อผ้าที่บางอยู่ด้านล่างเสื้อผ้าที่มีความหนามากกว่าจะทำให้เกิดการกดทับและยับได้ง่าย ดังนั้นเราจึงควรวางเสื้อผ้าที่มีความหนาไว้เต็มพื้นที่ด้านล่างเป็นอันดับแรกทุกครั้งนะครับ

5. ใส่ของชิ้นเล็กในรองเท้า

สำหรับใครที่คิดว่าการพกหลายคู่รองเท้าไปเที่ยวเป็นเรื่องเปลืองพื้นที่กระเป๋าเดินทาง คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เมื่อรู้เทคนิคนี้! เพราะรองเท้าสามารถกลายเป็นตัวช่วยจัดเก็บสัมภาระชิ้นเล็กได้อย่างดีเลยทีเดียว เพียงแค่นำสิ่งของขนาดเล็ก เช่น ถุงเท้า ขวดสเปรย์ หรือขวดน้ำหอม ใส่ในช่องว่างของรองเท้า แต่อย่าลืมห่อด้วยถุงซิปล็อคก่อนใส่ในรองเท้าล่ะ เพราะเรื่องสุขอนามัยเป็นเรื่องสำคัญและป้องกันการเปรอะเปื้อนจากของเหลวด้านในกับตัวรองเท้า วิธีนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดพื้นที่ในกระเป๋าเดินทาง แต่ยังช่วยรักษารูปทรงรองเท้าให้คงสภาพดีอีกด้วย

6. ใช้กระเป๋า Soft case ที่ยืดหยุ่นได้ดี

กระเป๋า Soft Case เป็นกระเป๋าเดินทางที่มีผนังยืดหยุ่น ต่างจากกระเป๋า Hard Case ที่มีผนังแข็ง ซึ่งเหมาะสำหรับการปกป้องสิ่งของแต่ไม่ค่อยรองรับการใส่ของจำนวนมากได้ดีเท่าไร การเลือกใช้กระเป๋า Soft Case จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการพื้นที่จัดเก็บมากขึ้น แต่กระเป๋าชนิดนี้อาจมีข้อเสีย นั่นก็คือหากคุณเดินทางไปในสถานที่ที่มีความชื้นมาก หรือฝนตกบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้กระเป๋าเปียกหรือชื้นได้ง่าย รวมถึงความทนต่อความเสียหายที่เกิดจากแรงกระแทกหรือรอยขูดจะน้อยกว่ากระเป๋าเดินทางแบบ Hard case

อย่าลืมว่า การวางจัดกระเป๋าเดินทางให้ดีไม่ได้แค่ช่วยให้กระเป๋าของคุณจุของได้เยอะขึ้น แต่ยังช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางอีกด้วย เพราะการเดินทางที่ดีเริ่มต้นจากการจัดกระเป๋าอย่างมีประสิทธิภาพ! ด้วยเคล็ดลับที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากคุณทำตาม ผมมั่นใจเลยว่าคุณจะจัดกระเป๋าได้อย่างมือโปรอย่างแน่นอน! เหมือนกับแม่บ้านของ  bluuu ที่ทำให้คุณมั่นใจในคุณภาพการทำความสะอาดบ้านของคุณอย่างมืออาชีพ

เกี่ยวกับผู้เขียน 

Thossaporn K.

    ผ้านวมถือเป็นชุดเครื่องนอนที่สำคัญสำหรับการนอนหลับ คงมีใครหลายๆคนที่ติดผ้านวมมากถ้าไม่มีผ้านวมคงนอนไม่หลับกันแน่ๆ ยิ่งช่วงนี้ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้ว บางบ้านอาจกำลังเตรียมนำผ้านวมที่เก็บไว้ออกมาใช้ หรือบางบ้านที่เปิดเครื่องปรับอากาศนอนเป็นประจำก็คงใช้ผ้านวมกันอยู่ตลอด  

  แต่สิ่งที่สำคัญกว่าการนำไปใช้งาน คือการทำความสะอาดผ้านวม หากไม่ทำความสะอาดเลยผ้านวมจะเป็นตัวเก็บฝุ่นชั้นดี และเต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล หรือสิ่งสกปรกต่างๆนั่นเอง รู้หรือไม่ว่าผ้านวมมีผ้าหลายชนิด มีการซักที่ต้องระมัดระวังแตกต่างกันออกไป ทางทีมงานแม่บ้าน Bluuu มีเคล็ดลับดีๆที่ไม่ควรมองข้ามมาแนะนำค่ะ 

• รู้จักประเภทของผ้านวม ? 

ผ้านวมมีหลายชนิด ทั้งผ้านวมขนเป็ด ผ้านวมใยสังเคราะห์ ผ้าขนห่าน แน่นอนว่าต้องมีวิธีซักที่แตกต่างกันอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นผ้านวมขนเป็ด ไม่ควรซักด้วยเครื่อง เนื่องจากเครื่องซักผ้ามีแรงเหวี่ยงมาก อาจทำให้เกิดปัญหาการจับตัวเป็นก้อนภายในผ้าห่มนั่นเอง และบางครั้งอาจมีคราบน้ำด่างสีเหลืองออกมาด้วย นอกจากทำให้เสียรูปทรงแล้ว ยังทำให้เสียประสิทธิภาพลงไปอีก

• คัดแยกผ้านวมก่อนนำไปซัก 

ผ้านวมทุกชิ้นมีความสกปรกแตกต่างกันออกไป บางผืนสกปรกมากไม่ซักมานานมีกลิ่นอับเหงื่อไคล บางผืนไม่ได้สกปรกมาก แค่ต้องการซักเพื่อไล่ฝุ่น ซึ่งไม่ควรซักผ้านวม 2 ชิ้นนี้รวมกัน ควรแยกซักจะดีที่สุด เพื่อป้องกันกลิ่นอับจากอีกผื่นไปสู่อีกผืน ผืนไหนที่สกปรกมาก อาจซักน้ำเปล่าก่อน และใส่ผงซักฟอกมากกว่า ซักนานกว่า รวมไปถึงควรแยกชนิดความหนา-บางของผ้า และไม่ควรซักผ้านวมรวมกับผ้าชนิดอื่นๆ ส่วนปลอกหมอน ปลอกผ้าปูที่นอนก็ควรแยกซักต่างหาก

• ใช้น้ำยาซักผ้าสูตรเข้มข้น และเลือกน้ำยาปรับผ้านุ่มที่หอมสะอาด

น้ำยาซักผ้าเป็นส่วนสำคัญในการทำความสะอาด ควรเลือกใช้สูตรเข้มข้นเพื่อขจัดคราบและกลิ่นอับได้ดี ส่วนปริมาณการใส่ขึ้นอยู่กับขนาดของผ้านวม และขึ้นอยู่กับเครื่องซักผ้าด้วย ถ้าเป็นเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าให้ใส่น้ำยาซักผ้าพอดีๆ ไม่ใส่เยอะเกินไป ป้องกันฟองล้นออกมานอกเครื่อง

แนะนำให้ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีความหอมสะอาดกลิ่นไม่ฉุนจนเวียนหัว ใส่ให้เหมาะกับขนาดของผ้านวม  หากมีคราบฝังลึกบนผ้านวมให้ทำความสะอาดคราบนั้นก่อนโดยการขยี้คราบเฉพาะจุด จึงค่อยนำไปซักทั้งผืน

• ม้วนผ้านวมก่อนนำลงเครื่องซักผ้า 

การซักผ้านวมที่ถูกต้องคือการม้วนผ้านวมก่อนนำเข้าเครื่องซักผ้านั่นเอง เพื่อการซักอย่างมีประสิทธิภาพและน้ำยาซักผ้าจะได้ทำความสะอาดอย่างทั่วถึง ไม่ควรยัดผ้านวมลงไปแบบไร้ทิศทาง เพราะนอกจากจะกินพื้นที่ในการซักแล้ว ผ้านวมอาจไม่สะอาดเท่าที่ควร 

• ซักผ้านวมด้วยน้ำอุ่น

ขั้นตอนในการซัก ถ้าซักด้วยเครื่องซักผ้าควรเลือกโหมดซักผ้าห่ม / ผ้าที่มีความหนา ผ้านวมทั่วไปที่เป็นผ้าฝ้ายหรือไยสังเคราะห์ และผ้าขนหนู สามารถเลือกซักด้วยน้ำอุณหภูมิประมาณ 50-60 องศาได้เพราะเป็นอุณหภูมิที่ไม่เย็นและไม่ร้อนจนเกินไป การซักผ้านวมด้วยน้ำอุ่นจะช่วยคงความอ่อนนุ่มของผ้า กำจัดแบคทีเรียและไรฝุ่นได้ดี 

(*ทั้งนี้ควรสังเกตจากป้ายที่ติดไว้ตรงผ้านวมด้วยว่าควรซักมือ หรือซักเครื่อง และสามารถซักด้วยน้ำอุ่นได้หรือไม่ ผ้าไหม ผ้าซาติน ผ้านวมขนเป็ดไม่ควรซักด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิเกิน 30 องศา )

• นำผ้านวมเข้าเครื่องอบผ้า

หลายๆคนอาจมองข้ามเรื่องการอบผ้านวม เพราะคิดว่าตากแดดให้แห้งก็เพียงพอ แต่นี่คือทริกสำคัญ เพราะนอกจากผ้านวมจะแห้งสนิทแล้ว การอบผ้ายังช่วยให้ผ้านวมหอมนุ่มฟูกว่าการตากแดดเฉยๆ และยังช่วยกำจัดไรฝุ่น ลดเศษละอองฝุ่นที่ติดบนผ้านวมได้เป็นอย่างดี หากที่บ้านไม่มีเครื่องอบผ้า ก็สามารถหาร้านสะดวกซัก เครื่องอบผ้าแบบหยอดเหรียญแทนได้

สำหรับสุขภาพที่ดีและการห่างไกลจากโรคภูมิแพ้นั้นควรหมั่นซักเครื่องนอนอย่างสม่ำเสมอ ผ้านวมเป็นเครื่องนอนที่ไม่ได้ซักยากเกินไป หากเรารู้วิธีซักอย่างถูกต้องแล้ว ควรซักสัปดาห์ละครั้ง หรือ เดือนละ 1-2 ครั้งเป็นอย่างต่ำ 

หากคุณต้องการแม่บ้านรายวันช่วยทำความสะอาดบ้าน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล สามารถอ่านรายละเอียดขอบเขตงานและราคาได้ที่ เว็บไซต์ของเรา 

เกี่ยวกับผู้เขียน

Uthaiwan B.

   หลายๆบ้านคงเจอปัญหาตะขาบขึ้นมาจากห้องน้ำ หรือพบเจอตะขาบอยู่ภายในบ้านบ่อยๆ นอกจากจะทำให้คนในบ้านหวาดกลัวแล้ว ยังต้องระแวงว่าจะถูกตะขาบกัด เราจึงควรหาวิธีไล่ตะขาบ และกำจัดตะขาบออกไป ไม่เช่นนั้นบ้านที่มีลูกเล็กอาจโดนกัดได้ บางคนแพ้พิษตะขาบจนเสียชีวิต 

    ตะขาบชอบอยู่ตามซอกพื้นหรือใต้พื้นที่เย็นๆเปียกชื้น ตามใต้กระถางต้นไม้ ใต้อิฐตามซอกยาแนวของกระเบื้อง ในบ้านและในห้องน้ำ โดยส่วนมากมักจะเจอตะขาบในห้องน้ำ เพราะเป็นที่เปียกชื้น ทางทีมงานแม่บ้าน Bluuu มีวิธีกำจัดตะขาบมาแนะนำค่ะ 

**การใช้สารเคมีควรใส่ถุงมือป้องกัน และสวมแมสทุกครั้ง ควรระวังการใช้สารเคมีหากที่บ้านคุณมีสัตว์เลี้ยงและเด็ก**

วิธีกำจัดตะขาบมีอะไรบ้าง ?

1. ใช้ปูนขาวไล่ตะขาบ โดยโรยตามซอกมุมในบ้าน หรือผสมน้ำราดในดิน เพราะบางทีอาจมีรังตะขาบอยู่ใต้ดินได้ เนื่องจากในดินมีความชื้นและค่อนข้างเย็น 

2. น้ำมันก๊าดไล่ตะขาบ ฉีดน้ำมันก๊าดบริเวณรอบๆบ้าน ตามซอกรอยแตกบนกำแพงหรือพื้นปูน จะช่วยไล่สัตว์เลื้อยคลานเป็นอย่างดี

3. โซดาไฟไล่ตะขาบ สามารถใช้โซดาไฟราดลงท่อน้ำ เพื่อกำจัดตะขาบสำหรับคนที่อยู่หอหรือคอนโด ตะขาบจะขึ้นมาตามท่อ หากมีตะขาบขึ้นมาบ่อยๆควรทำทุกๆอาทิตย์ แต่เพื่อความปลอดภัยควรสวมถุงมือและผ้าปิดปากทุกครั้ง

4. ก้อนไล่ตะขาบ ก้อนไล่ตะขาบ และผงไล่ตะขาบ หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ ควรอ่านวิธีใช้อย่างเคร่งครัด

5. เคมีฟูราดาน เป็นสารเคมีกำจัดแมลง สามารถกำจัดแมลงพวก ด้วง ตะขาบ มด และปลวกได้ หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เกษตร ใช้โรยรอบบ้าน ริมกำแพงหรือตามซอกหิน ใต้กระถางต้นไม้ และควรอ่านวิธีใช้อย่างระมัดระวัง

6. น้ำยาล้างห้องน้ำ หากเจอตะขาบระยะใกล้ให้รีบน้ำน้ำยาล้างห้องน้ำฉีด ตะขาบจะดิ้นตายทันที หากจะราดน้ำยาไว้ตลอดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เพราะเป็นสารเคมี 

วิธีป้องกันตะขาบไม่ให้เข้ามาในบ้าน !

• กำจัดแหล่งอาหารของตะขาบ อาหารของตะขาบเช่น มด แมลง ปลวก จิ้งจก ควรทำความสะอาดบ้านอย่างสม่ำเสมอไม่ปล่อยให้มีเศษอาหารหล่น หรือเต็มถังขยะ เพราะหากที่บ้านเรามีมด หรือแมลง หมายความว่ามีอาหารชั้นดีของตะขาบอยู่นั่นเอง 

• จัดบ้านให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ ไม่รก และไม่ควรมีที่อับชื้นภายในบ้าน 

• ตรวจสอบรอยแตกภายในบ้าน รูในห้องน้ำ และปิดร่องยาแนวให้ดี หากร่องยาแนวในห้องน้ำหลุด ตะขาบตัวเล็กๆอาจไปซ่อนตัวอยู่ได้

• ตรวจสอบรอบบ้าน หินชื้นๆเปียกๆ ใต้กระถางต้นไม้ ใต้กระเบื้องหรือ แผ่นหิน

• ปิดท่อน้ำทิ้งให้สนิท ใช้ตะแกรงรูเล็กปิดด้านบนอีกชั้น ต้องสนิทกับขอบ และเปลี่ยนตะแกรงระบายน้ำเป็นแบบกันกลิ่น กันแมลง สามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าและช่องทางออนไลน์

การเจอตะขาบมันน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่ชอบแน่ๆ หากเราหมั่นทำความสะอาด ตรวจสอบรอบๆบ้าน และหาวิธีป้องกันหลายวิธีไม่ให้ตะขาบขึ้นมาจากท่อน้ำได้แล้ว ก็สบายใจได้ ลองนำวิธีด้านบนไปใช้ดูนะคะ 

หรือหากคุณกำลังมองหาแม่บ้านรายชั่วโมง ให้เข้าไปทำความสะอาดที่บ้าน ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล สามารถอ่านรายละเอียดราคาและขอบเขตการให้บริการได้ที่ Bluuu Price 

เกี่ยวกับผู้เขียน

Uthaiwan B.

     ประเทศไทยในปัจจุบันมีปริมาณขยะเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉลี่ยมากถึง 27 ล้านตันต่อปี ประชากรในประเทศยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแยกขยะมากนัก และรัฐบาลยังไม่มีกฏหมายควบคุมเรื่องการแยกขยะอย่างเด็ดขาดเหมือนบางประเทศ เมื่อปริมาณขยะมากขึ้น เกิดแก็สมีเทนส่งผลต่อสภาวะอากาศบนโลกแปรปรวน สิ่งเหล่านี้ทุกคนอาจคุ้นชินกันมาแล้วบ้างกับคำว่า “สภาวะโลกร้อน” 

    เมื่อโลกกำลังเผชิญกับปัญหาสภาวะโลกร้อน สิ่งที่ได้รับผลกระทบตามมาคือสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม ช่วงเวลาที่ผ่านมามีการรณรงค์ให้ใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก แต่ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้นที่คนตระหนักถึงสิ่งนี้  ปัจจุบันตามบ้าน ครัวเรือน ตลาดสด ห้างสรรพสินค้า ก็ยังมีการใช้ถุงพลาสติกกันอยู่ทั่วไป 

     ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2567 ที่ผ่านมา สภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบให้เพิ่มค่าธรรมเนียมการเก็บขยะ สำหรับบ้านที่ “ไม่แยกขยะ” เป็นเดือนละ 60 บาท ส่วนบ้านที่แยกขยะจะเสียค่าธรรมเนียมเพียง 20 บาท สิ่งง่ายๆที่เราสามารถทำได้จากที่บ้าน คือ “การแยกขยะ” ก่อนนำไปทิ้งนั่นเอง

    การแยกขยะควรเริ่มจากตรงไหนดี ?

อย่างแรกควรแยกขยะเป็น 4 ประเภทออกจากัน คือ 

1. ขยะย่อยสลาย : คือ เศษอาหารต่างๆ เศษผักผลไม้จากครัว หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นขยะที่เน่าเสียและสามารถย่อยสลายได้เร็ว ขยะประเภทนี้สามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ใส่ต้นไม้ได้ มีประโยชน์อย่างแน่นอน

2. ขยะทั่วไป : คือ ขยะมูลฝอยทั่วไป ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ หรือย่อยสลายได้ยาก ไม่คุ้มค่ากับการนำมารีไซเคิล เช่น โฟม ถุงพลาสติก ซองขนม เปลือกลูกลม หรือภาชนะที่เปื้อนอาหาร แต่ทั้งนี้สามารถนำมาล้างและเก็บไว้เพื่อนำไปรีไวเคิลต่อไปได้ 

3. ขยะอันตราย : คือขยะมูลฝอยอันตราย ซึ่งมีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือปนเปื้อนวัตถุอันตราย ซึ่งส่งผลไม่ดีต่อ สิ่งมีชีวิต ทั้งคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านไฟฉาย หลอดไฟ แบตเตอร์รี่ ควรแยกขยะประเภทนี้ทุกครั้ง 

4. ขยะรีไซเคิล : คือ ขยะมูลฝอยที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยการ “รีไซเคิล” เช่น ขวดพลาสติก ถุงพลาสติก กระดาษลัง ขวดแก้ว หนังสือพิมพ์ กล่องนม เป็นต้น

   การรีไซเคิลคืออะไร ? 

         การรีไซเคิลคือ การนำขยะที่ใช้แล้ว นำกลับมาใช้ใหม่โดยการแปรสภาพให้นำกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง  

        ตามร้านรับซื้อของเก่าจะรับซื้อขวดน้ำ หรือลังกระดาษ ซึ่งสิ่งขยะพวกนี้สามารถเพิ่มรายได้เล็กๆน้อยๆให้กับครอบครัวได้ โดยจะแบ่งเป็นประเภทดังนี้  (**ราคารับซื้อมีการขึ้น-ลงอยู่ตลอด กรุณาเช็คราคากับร้านรับซื้ออีกครั้งเมื่อคุณต้องการขาย**)

1. ประเภทกระดาษ 

• กระดาษลัง กระดาษคราฟ ที่เป็นกระดาษสีน้ำตาลไม่ผ่านการฟอกสี ขายได้ 3 บาท/กิโลกรัม
• กระดาษหนังสือพิมพ์ ขายได้ 5-7 บาท / กิโลกรัม
• กระดาษ A4 ที่พิมพ์ด้วยหมึกสีดำหรือน้ำเงิน ขายได้ 5-6 บาท / กิโลกรัม
• กระดาษ A4 ที่พิมพ์ด้วยหมึกสี มีรอยเขียนปากกาเน้นข้อความ ขายได้ 1-2 บาท/ กิโลกรัม
• ใบโบรชัวร์ กระดาษลังไข่ ขายได้ 1-2 บาท / กิโลกรัม

2. ประเภทขวดพลาสติก 

• ขวดใส (พลาสติก PET หรือ PETE) สังเกตได้จากสัญลักษณ์ สามเหลี่ยมเลข 1 เช่น ขวดน้ำเปล่า ขวดน้ำมันพืช ขายได้ 17 บาท / กิโลกรัม
• ขวดขุ่น (พลาสติก HDPE) สังเกตสัญลักษณ์ สามเหลี่ยมเลข 2 เช่น ขวดแกลอนนม ขวดนม ขวดใส่ครีมอาบน้ำ ขวดแชมพู ขายได้ 13 บาท/ กิโลกรัม
• ฝาขวด (พลาสติก PP) สังเกตสัญลักษณ์ สามเหลี่ยมเลข 5 ใต้ฝา ขายได้ 3 บาท/ กิโลกรัม

3. ประเภทกระป๋องโลหะ 

• กระป๋องอลูมิเนียม เช่น กระป๋องน้ำอัดลม กระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขายได้ 60 บาท / กิโลกรัม 
• ห่วงฝากระป๋องอะลูมิเนียม ขายได้ 30 บาท / กิโลกรัม

4. ประเภทขวดแก้ว 

• ขวดแก้วสีใส หรือสีขาว สีแดง ทั่วไป ขายได้ 1-2 บาท / กิโลกรัม 
• ขวดแก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขายได้ 13-20 บาท / ลัง 

     นอกจากนี้หากบ้านไหนมีน้ำมันที่ใช้แล้วจากการประกอบอาหาร ก็สามารถนำมาใส่ขวดหรือใส่ปีบขายได้เช่นกัน โดยทางร้านรับซื้อกิโลละ 16 บาท

    เราสามารถลดภาระในการจัดการขยะได้ด้วยวิธีง่ายๆ ช่วยสร้างมูลค่าให้ขยะ และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้น เริ่มจากปลูกจิตใต้สำนึกคนในบ้านให้ช่วยกัยแยกขยะกันนะคะ 

หากคุณสนใจบริการทำความสะอาด จ้างแม่บ้านแบบรายชั่วโมง ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล สามารถอ่านรายละเอียดของการบริการได้ที่ Bluuu Price

เกี่ยวกับผู้เขียน 

Uthaiwan B.

การขจัดคราบเลือดบนผ้าเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือการเกิดคราบเลือดจากช่วงรอบเดือนของคุณผู้หญิง หากไม่ได้รับการทำความสะอาดคราบเลือดอย่างถูกวิธี คราบเลือดอาจฝังลึกและยากที่จะทำความสะอาด แต่ไม่ต้องกังวลไป! ในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีขจัดคราบเลือดบนผ้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเคล็ดลับที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้านได้อย่างง่ายดาย

1. วิธีขจัดคราบเลือดสด (ที่ยังไม่แห้ง)

เมื่อเลือดยังคงสดและยังไม่แห้ง การขจัดคราบเลือดจะง่ายขึ้น หากแม่บ้านทำคามวิธีที่แนะนำข้างล่าง ดังนี้

1.1 น้ำเย็น

การใช้ "น้ำเย็น" เป็นวิธีแรกที่ควรลองเป็นอย่างแรก เพราะน้ำร้อนอาจทำให้เลือดฝังลึกลงในเนื้อผ้าได้ เริ่มจากแม่บ้านใช้น้ำเย็นล้างบริเวณที่มีคราบเลือดทันที หากเป็นคราบเลือดที่เริ่มแห้ง ให้นำผ้าหรือสำลีมาชุบน้ำเย็นแล้วซับคราบเลือดออก แม่บ้านสามารถทำซ้ำได้เรื่อยๆจนกว่าเลือดจะจางหายไปในที่สุด

1.2 สบู่หรือผงซักฟอก

หลังจากล้างน้ำเย็นแล้ว ควรใช้สบู่หรือผงซักฟอกขจัดคราบเลือดออก ผมขอแนะนำให้แม่บ้านใช้สบู่ขัดเบา ๆ บริเวณคราบเลือด และทิ้งไว้อย่างน้อย 10-15 นาที แล้วขัดด้วยแปรงขนนุ่ม แล้วจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง

2. วิธีขจัดคราบเลือดแห้ง (ที่ฝังลึก)

สำหรับคราบเลือดที่แห้งและฝังลึกแล้ว การขจัดอาจยากขึ้น แต่ก็ยังมีวิธีที่แม่บ้านสามารถลองทำได้ ดังนี้

2.1 ใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (น้ำยาล้างแผล)

ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 3% เป็นสารที่ใช้ในการขจัดคราบเลือดที่ฝังลึกได้ดีในระดับนึง เริ่มจากแม่บ้านเทไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ลงบนคราบเลือด ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที จนเกิดฟอง และซับคราบเลือดออกด้วยผ้าสะอาด

2.2 ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำ

เบกกิ้งโซดาเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการขจัดคราบเลือด โดยการใช้เบกกิ้งโซดาผสมกับน้ำแล้วทำให้เป็นเนื้อครีม ผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำในสัดส่วน 2:1 จากนั้นก็ทาเบกกิ้งโซดาลงบนคราบเลือด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หลังจากที่รอให้แม่บ้านขัดเบา ๆ ด้วยแปรงขนนุ่ม แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

2.3 สเปรย์หรือน้ำยาขจัดคราบเลือดโดยเฉพาะ

ในกรณีที่คราบเลือดฝังแน่น การใช้สเปรย์หรือน้ำยาลบคราบเลือดที่มีขายตามร้านค้าก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ง่ายและสะดวกเช่นกันครับ เพียงแม่บ้านฉีดสเปรย์ลงบนคราบเลือด ปล่อยทิ้งไว้หรือทำตามคำแนะนำบนฉลาก แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

2.4 ใช้แอมโมเนียผสมกับน้ำเย็น 

วิธีนี้เหมาะสำหรับการกำจัดคราบเลือดที่ฝังแน่น ให้แม่บ้านใช้แอมโมเนียประมาณ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำเย็น ½ ถ้วย จากนั้นเทลงบนคราบเลือด ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที แล้วนำไปซักในน้ำเย็น ทำซ้ำแบบเดิมหากมีความจำเป็น 

ข้อควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอมโมเนียกับผ้าที่มีเนื้อละเอียดอ่อน เช่น ผ้าไหม ผ้าลินิน หรือผ้าขนสัตว์

2.5 น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์

นอกจากจะใช้เพื่อล้างคอนแทคเลนส์ที่ใส่แล้ว แม่บ้านยังสามารถนำน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์มาใช้เพื่อล้างคราบเลือดได้อีกด้วย แค่กรอกน้ำยาลงในขวดสเปรย์แล้วพ่นให้ทั่วบริเวณคราบเลือด ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นจึงใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดซ้ำๆ และเช็ดด้วยผ้าแห้ง 

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการขจัดคราบเลือด

• รีบการทำความสะอาดทันที: ยิ่งทำความสะอาดคราบเลือดเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งง่ายต่อการขจัด การปล่อยให้เลือดแห้งบนผ้าเป็นเวลานานจะทำให้คราบฝังลึกและขจัดยาก
• ไม่ใช้น้ำร้อน: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนในการล้างคราบเลือด เพราะน้ำร้อนจะทำให้เลือดเซ็ตตัวและยากที่จะออกจากเนื้อผ้า
• ควรทดสอบสารเคมีก่อน: ก่อนใช้สารเคมีใด ๆ เช่น ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือสารฟอกขาว ควรทดสอบที่มุมเล็ก ๆ ของผ้าก่อนเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้

การป้องกันคราบเลือด

แม้ว่าการขจัดคราบเลือดจะไม่ยากเกินไป แต่การป้องกันไม่ให้คราบเลือดเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยสามารถทำได้ดังนี้

• ใช้ผ้าปูที่นอนหรือผ้าเช็ดตัวเก่าหากคุณรู้ว่ามีการบาดเจ็บ หรือใช้ผ้ารองกันเปื้อน
• หากเป็นคราบเลือดจากรอบเดือน ควรใช้ผ้าอนามัยที่มีคุณภาพดีเพื่อป้องกันการซึมของเลือด

การขจัดคราบเลือดบนผ้าอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากรู้วิธีและมีเครื่องมือที่เหมาะสม คราบเลือดก็สามารถออกได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คุณทำตามขั้นตอนที่เราแนะนำ และอย่าลืมที่จะจัดการกับคราบเลือดทันทีที่เกิดขึ้นเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด! หรือถ้าคุณไม่อยากทำเองล่ะก็ เพียงจองแม่บ้านออนไลน์ที่ ได้ง่ายๆ bluuu เว็บไซต์ของเราได้เลยนะครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน

Thossaporn K.

ถ้าจะพูดถึงการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสุดน่ารักที่เหมาะสมกับตัวคุณมากที่สุด ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ลักษณะนิสัยของคนเลี้ยง ไลฟ์สไตล์ และความสามารถในการดูแลของคุณ รวมไปถึงสิ่งที่คุณต้องการจากการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นผมจะขอแบ่งตามลักษณะต่างๆ ของบุคลิกและไลฟ์สไตล์ เพื่อช่วยให้คุณเลือกสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้ง่ายขึ้นครับ

1. หากคุณชอบกิจกรรมกลางแจ้งหรือการออกกำลังกาย ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่

ถ้าคุณเป็นคนเป็นคนที่มีพลังงานเหลือล้น รักการออกกำลังกายหรือชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น วิ่ง หรือเดินเล่นในสวนสาธารณะ สัตว์เลี้ยงที่ต้องการการออกกำลังกายและกิจกรรมที่กระตือรือร้นก็น่าจะเหมาะกับคุณมาก

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• สุนัขพันธุ์ใหญ่ เช่น ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์, เยอรมันเชพเพิร์ด, บ็อกเซอร์ - สุนัขเหล่านี้มีพลังงานสูงและชอบกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงการออกกำลังกายหนักๆ เช่น วิ่ง หรือเดินป่า
• สุนัขพันธุ์เล็กที่มีพลังมาก เช่น บอสตัน เทอร์เรีย, แจ็ครัสเซล เทอร์เรีย - สุนัขเหล่านี้ถึงจะตัวเล็ก แต่ก็มีพลังงานสูงและต้องการเล่นอย่างต่อเนื่อง
• ม้า - ถ้าคุณเป็นคนมีเงินที่ชื่นชอบการขี่ม้าและใช้เวลาทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน ม้าก็เป็นสัตว์ที่ต้องการการดูแลค่อนข้างสูง แต่ก็เหมาะสำหรับคนที่มีความรักในกิจกรรมกลางแจ้งมาก

2. หากคุณเป็นคนที่ทำงานหนัก ไม่มีเวลาว่างมากนัก

ในบางครั้งคุณอาจไม่มีเวลาให้กับสัตว์เลี้ยงมากนัก แต่ก็ยังอยากมีเพื่อนขนฟูหรือสัตว์เลี้ยงที่สามารถดูแลได้ง่าย ไม่ต้องการความสนใจตลอดเวลา

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• แมว - แมวเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างอิสระ ไม่ต้องการการดูแลตลอดเวลา พวกมันสามารถดูแลตัวเองได้ดี เช่น การใช้กระบะทราย แต่ก็ยังสามารถให้ความอบอุ่นและความรักกับคุณได้ในระดังนึง
• ปลา - ถ้าคุณอยากได้สัตว์เลี้ยงที่ไม่ต้องการการดูแลมากนัก ปลาในตู้ปลาเป็นตัวเลือกที่ดี พวกมันเพียงแค่ต้องการการให้อาหารและการดูแลคุณภาของน้ำอย่างสม่ำเสมอ
• กระต่าย - กระต่ายเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างสงบและไม่ต้องพาออกไปวิ่งเล่นเหมือนสุนัข แต่ก็ต้องการความใส่ใจในการทำความสะอาดและการให้อาหารเพียงเล็กน้อยของเจ้าของ

3. หากคุณรักสงบ ไม่ชอบเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ไม่ชอบสัตว์ที่ส่งเสียงดังหรือมีพลังงานมากเกินการควบคุมของคุณ คุณอาจจะต้องการสัตว์เลี้ยงที่อนู่เงียบๆ ไม่สุงสิงกับใครมากนักและที่สำคัญก็คือต้องไม่ทำให้บ้านเสียงดัง

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• แมว - แมวโดยทั่วไปมีพฤติกรรมที่รักสงบและมักจะไม่รบกวนคุณมากนัก พวกมันชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวและทำกิจกรรมเงียบๆ เช่น การเลียขนตัวเองหรือการนอนหลับเกือบตลอดทั้งวัน
• เต่า - เต่าเป็นสัตว์ที่เงียบสงบมาก ไม่สร้างเสียงรบกวน และใช้ชีวิตค่อนข้างช้าๆ พวกมันไม่ต้องการการดูแลมากนัก แต่ก็ต้องการพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในระดับนึง

4. หากคุณเป็นคนชอบเอาใจใส่ ใส่ใจสิ่งรอบตัว รักการเข้าสังคม

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาใจใส่ ชอบให้สัตว์เลี้ยงเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับคุณและกับเพื่อนๆ หรือครอบครัว สัตว์เลี้ยงที่มีความรักในการเข้าสังคมและค่อนข้างขี้อ้อก็อาจจะเหมาะกับคุณ

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• สุนัขพันธุ์ที่รักการเข้าสังคม เช่น โกลเดน รีทรีฟเวอร์, ค็อกเกอร์ สแปเนียล, บีเกิล - สุนัขเหล่านี้มีนิสัยอ่อนโยนและเป็นมิตรกับทุกคน รวมถึงมักจะรักการเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
• แมวที่ขี้อ้อน - แมวบางพันธุ์ เช่น สฟิงซ์ หรือเบงกอล มักจะมีความต้องการการเข้าหามนุษย์และการเล่นในระดับที่สูง

5. หากคุณมีนิสัยเหมือนคุณครู สั่งสอนเก่ง มีความเป็นผู้นำและชอบให้คนอื่นทำตาม

หากคุณมีความเป็นผู้นำและชอบสอนเพื่อให้คนอื่นเรียนรู้ คุณอาจต้องการสัตว์ที่สามารถฝึกฝนและเรียนรู้คำสั่งได้ดี และต้องการให้สัตว์เลี้ยงของคุณโต้ตอบต่อคำสั่งของคุณตามที่เคยสอนหรือฝึก

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• สุนัขพันธุ์ฉลาด เช่น โคลลี, ปั๊ก, พุดเดิล - สุนัขเหล่านี้สามารถฝึกฝนและเรียนรู้คำสั่งต่างๆ ได้ง่าย มีความสามารถในการแก้ปัญหาหรือทำกิจกรรมที่ท้าทาย
• นก เช่น นกแก้ว - นกบางพันธุ์อย่างนกแก้วสามารถเรียนรู้คำพูดหรือคำสั่งได้ดี และยังสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าของได้มาก รวมถึงสามารถฝึกให้บินอย่างอิสระได้อีกด้วย

6. หากคุณมีพื้นที่จำกัดหรืออาศัยในที่แคบ

บางคนอาจอาศัยอยู่ในคอนโดหรือพื้นที่ที่จำกัด ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ที่ต้องการพื้นที่มากหรือการออกกำลังกายที่มาก

สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสม:

• แมว - แมวเหมาะกับที่อยู่ที่จำกัดเพราะไม่ต้องการพื้นที่มากนัก
• กระต่าย - กระต่ายสามารถเลี้ยงในพื้นที่เล็กๆ ได้และไม่ต้องการการเดินออกกำลังกายมากมาย
• ปลา - ตู้ปลามีขนาดไม่ใหญ่มาก และสามารถเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับพื้นที่จำกัด

การเลือกสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับคุณที่สุดนั้น ไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เวลาที่คุณสามารถให้กับสัตว์เลี้ยง ความสามารถในการดูแล และความชอบส่วนตัวของคุณครับ สัตว์เลี้ยงทุกชนิดมีจุดเด่นและจุดด้อยของลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการพิจารณาจากไลฟ์สไตล์และความสามารถในการดูแลของคุณจะช่วยให้คุณมีความสุขกับสัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมกับตัวเองได้มากที่สุด! และถ้าหากใครที่สนใจผู้ช่วยในการทำความสะอาดบ้าน หรือกำลังมองหาแม่บ้านรายชั่วโมงที่อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล สามารถอ่านรายละเอียดการบริการได้ที่ bluuu เว็บไซต์ของเราได้เลยนะครับ

เกี่ยวกับผู้เขียน

Thossaporn K.